โครงงานคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 โครงงานคอมพิวเตอร์
ความสำคัญของโครงงานคอมพิวเตอร์ คือ
เสริมสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง ส่งผลทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์ในการทำโครงงานใหม่ๆที่จะนำไปสู่โลกของงานอาชีพและการศึกษา อีกทั้งโครงงานที่ตนเองสนใจยังก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่กว้างขวาง เป็นการประสานงานทางวิชาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ
ความหมายของโครงงานคอมพิวเตอร์
หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ
1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)

1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)
เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย
5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง
การพัฒนาโครงงาน
การเตรียมการ ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาให้พร้อมและควรเตรียมสมุดบันทึกหรือบันทึกเป็นข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์สำหรับบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างทำโครงงาน ได้แก่ การดำเนินการเป็นอย่างไรได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่างๆ ที่พบ
การลงมือพัฒนา เป็นการปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ในเค้าโครง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ หากพบว่าจะช่วยทำให้ผลงานพัฒนาได้ดีขึ้น โดยจัดระบบการทำงานโดยทำส่วนที่เป็นหลักสำคัญให้เสร็จก่อน จึงค่อยทำส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริม เพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทำให้ตกลงรายละเอียดในการเชื่อมต่อชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย รวมทั้งต้องพัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ บันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบและครบถ้วน
การทดสอบผลงานและแก้ไข เป็นการตรวจสอบความถูกต้องของผลงาน เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้น ทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการที่ระบุไว้ในเป้าหมาย และมีประสิทธิภาพ
การอภิปรายและข้อเสนอแนะ เมื่อพัฒนาผลงานเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำสรุปด้วยข้อความที่สั้นกะทัดรัดครอบคลุมหัวข้อโครงงาน เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสิ่งที่ค้นพบจากการทำโครงงานและทำการอภิปรายผล เพื่อพิจารณาข้อมูลและผลที่ได้ พร้อมกับนำไปหาความสัมพันธ์กับหลักการ ทฤษฏี หรือผลงานที่ผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงการนำหลักการ ทฤษฏี หรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ประกอบการอภิปรายผลที่ได้
แนวทางการพัฒนาโครงงานในอนาคตและข้อเสนอแนะ เมื่อทำโครงงานเสร็จสิ้นลงแล้วนักเรียนอาจพบข้อสังเกต ประเด็นที่สำคัญหรือปัญหา ซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อเสนอแนะ สำหรับผู้สนใจจะนำไปพัฒนาผลงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การจัดรูปเล่มรายงานการพัฒนาโครงงาน
รายงานเสนอโครงงานวิศวกรรมประกอบด้วยส่วนสำคัญ 5 ส่วน คือ
- ส่วนนำ- ส่วนเนื้อความ- ส่วนอ้างอิง- ภาคผนวก (อาจมีหรือไม่มีก็ได้)- ประวัติผู้จัดทำโครงงาน
2.2 ส่วนนำในส่วนนำนี้ จะประกอบด้วยส่วนต่างๆ ตามลำดับดังนี้- ปกหน้า ให้ใช้ปกแข็งสีเลือดหมู ประกอบด้วยชื่อโครงงานภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้ทำโครงงาน ชื่อปริญญา คณะ มหาวิทยาลัย และปีการศึกษาที่ได้รับอนุมัติ- ปกใน ประกอบด้วยชื่อโครงงานภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ชื่อผู้ทำโครงงาน รหัสประจำตัวนิสิต ชื่อปริญญา คณะ มหาวิทยาลัย และปีการศึกษาที่ได้รับอนุมัติ- หน้าอนุมัติ- บทคัดย่อภาษาไทย- บทคัดย่อภาษาอังกฤษ- กิตติกรรมประกาศ- สารบัญ เป็นส่วนแจ้งถึงตำแหน่งหน้าของเนื้อหาในรายงาน โดยเริ่มหมายเลขหน้าตั้งแต่สารบัญจนถึงหน้าสุดท้าย ชื่อบทและหัวข้อที่ปรากฏในสารบัญจะต้องตรงกับที่ปรากฏในเนื้อหา- สารบัญรูป (ถ้ามี) เป็นส่วนแจ้งตำแหน่งหน้าของรูปภาพหรือแผนภูมิ- สารบัญตาราง (ถ้ามี) เป็นส่วนแจ้งตำแหน่งของตารางในโครงงาน- คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ สัญลักษณ์และคำย่อทุกตัว ต้องมีการระบุคำอธิบาย สัญลักษณ์และค่าทางฟิสิกส์ทุกตัวต้องมีการระบุหน่วยทุกครั้ง
2.3 ส่วนเนื้อหาในส่วนนี้บรรจุรายละเอียดของโครงงาน โดยแยกออกเป็นบทและกำกับด้วยหมายเลขพร้อมชื่อบท โดยแบ่งโครงสร้างตามลำดับต่อไปนี้
2.3.1 บทที่ 1 บทนำประกอบด้วยหัวข้อและเนื้อหาหลักๆดังต่อไปนี้- หัวข้อ 1.1 ความสำคัญและที่มาของปัญหา- หัวข้อ 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน- หัวข้อ 1.3 ขอบเขตการศึกษา- หัวข้อ 1.4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ- หัวข้อ 1.5 ความรู้ที่นำมาประยุกต์ใช้2.3.2 บทที่ 2 ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้องบทที่ 2 กล่าวถึงทฤษฎีพื้นฐาน และ การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง (Literature review) ซึ่งเป็นส่วนที่สรุปข้อมูลหรือผลงานที่มีผู้ทำมาแล้วและมีความสัมพันธ์ต่อโครงงาน เช่น ในกรณีที่โครงงานเป็นการพัฒนาโปรแกรม ในบทนี้ให้กล่าวถึงลักษณะทั่วไปของระบบงานเดิม หรือหากเป็นการสร้างชิ้นงานที่พัฒนาจากของเดิม ให้กล่าวถึงลักษณะทั่วไป ข้อดีและข้อเสียของชิ้นงานเดิม ในบทนี้การแบ่งจำนวนหัวข้อให้แบ่งตามความเหมาะสมการอ้างถึงวรรณกรรมหรือทฤษฏีที่เกี่ยวข้องทุกครั้งจะต้องระบุที่มาโดยอ้างอิงให้ตรงกับเอกสารอ้างอิงในส่วนหลัง2.3.3 บทที่ 3 วิธีดำเนินการโครงงานอธิบายถึงขั้นตอนการลงมือดำเนินการโครงงาน โดยเริ่มตั้งแต่รายละเอียดการออกแบบ อุปกรณ์ที่นำมาใช้ในการจัดทำโครงงาน ทั้งเครื่องมือที่เป็นฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ตลอดจนการลงมือสร้างชิ้นงานอย่างละเอียด (ควรมีภาพประกอบ)2.3.4 บทที่ 4 ผลการทดลองอธิบายการทดสอบชิ้นงานหรือตัวโปรแกรมที่ได้ออกแบบ (ในกรณีไม่ได้สร้างชิ้นงาน) การวางแผนการทดสอบเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของงาน และการนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับทางทฤษฎี หรือค่าที่ออกแบบไว้ว่าได้ผลตรงตามทฤษฎีหรือไม่ อย่างไร2.3.5 บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะนำผลการทดสอบที่ได้มาสรุปประสิทธิภาพของงาน ปัจจัยที่มีผลต่อการออกแบบและการสร้างชิ้นงาน ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะถึงความผิดพลาดในการทำงาน และให้แนวทางการนำผลงานไปใช้เพื่อพัฒนาต่อไปในอนาคต2. 4 ส่วนท้ายส่วนท้ายนี้ เป็นส่วนที่ตามหลังส่วนเนื้อหา ประกอบไปด้วย เอกสารอ้างอิง ภาคผนวก และ ประวัติผู้จัดทำโครงงาน2.4.1 เอกสารอ้างอิงเอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ในส่วนนี้ให้บรรจุชื่อเอกสารที่ได้อ้างอิงไว้ในโครงงาน ซึ่งจะต้องเขียนให้ถูกต้องตามหลักการที่กำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัยการเขียนรายงานแต่ละประโยคนั้น จำเป็นต้องมีรายชื่อเอกสารที่นำข้อมูลมาใช้อ้างอิง หรือใช้ประกอบการเขียนแนบท้าย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าบทความหรือรายงานนั้นมีเหตุผล สาระที่เชื่อถือได้ และเอกสารที่นำมาอ้างจะต้องให้ข้อมูลรายละเอียด ชัดเจนเพียงพอที่ผู้สนใจในรายงานนั้น สามารถติดตามค้นหาข้อมูลที่อ้างถึงหรือเกี่ยวข้องได้ถูกต้อง แม้แต่การนำรูป แผนที่ หรือตารางมาใช้ในรายงานก็ต้องอ้างถึงและใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิงการจัดทำรายชื่อเอกสารอ้างอิงท้ายเรื่องมีหลายรูปแบบ ส่วนจะเลือกใช้แบบใดขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของสถาบันการศึกษา หรือวารสารของแต่ละสถาบัน ที่สำคัญคือ เมื่อเลือกใช้แบบใดแล้ว ต้องใช้แบบนั้นอย่างสม่ำเสมอโดยตลอด และเขียนให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด พร้อมทั้งให้ข้อมูลอย่างครบถ้วนและชัดเจน2.4.2 ภาคผนวกภาคผนวกเป็นส่วนที่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายละเอียดข้อมูลที่ผู้จัดทำรายงานไม่ได้ทำขึ้นเอง เช่น การพิสูจน์สมการ ขั้นตอนวิธีการติดตั้งระบบ วิธีการใช้โปรแกรม ข้อมูลหรือแผนที่ ที่ใช้ในการดำเนินการโครงงาน เป็นต้น สามารถภาคผนวกหลายบท หรือมีหลายภาคผนวกได้ เช่น ภาคผนวก ก, ภาคผนวก ข เป็นต้น
2.4.3 ประวัติผู้จัดทำโครงงานประกอบไปด้วยชื่อ-ประวัติของอาจารย์ที่ปรึกษา และชื่อ-ประวัติของคณะผู้จัดทำโครงงาน หากมีหลายคนให้เรียงตามลำดับตัวอักษร
2.5 การเรียงลำดับส่วนประกอบรายงานการจัดส่วนต่างๆ เข้าเป็นรูปเล่ม ต้องให้เป็นไปตามลำดับต่อไปนี้
1. ปกหน้า
2. ปกใน
3. หน้าอนุมัติ
4. บทคัดย่อภาษาไทย
5. บทคัดย่อภาษาอังกฤษ
6. กิตติกรรมประกาศ
7. สารบัญ
8. สารบัญรูป (ถ้ามี)
9. สารบัญตาราง (ถ้ามี)
10. คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ
11. บทที่ 1 บทนำ
12. บทที่ 2 ทฤษฏีและหลักการที่เกี่ยวข้อง
13. บทที่ 3 วิธีดำเนินการโครงงาน
14. บทที่ 4 ผลการทดลอง
15. บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ
16. เอกสารอ้างอิง17. ภาคผนวก (ถ้ามี)
18. ประวัติผู้จัดทำโครงงาน
อ้างอิง
http://it63-13231.blogspot.com/p/blog-page_8.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น